‘ผงชงดื่ม’ หรือ Powder supplement เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในไทย เนื่องจากเป็นอาหารเสริมที่ค่อนข้างมีสีสันในการรับประทานมากกว่าแบบแคปซูล แต่หลายคนมักยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า นอกจากความน่ากินของผงชงดื่มแล้ว ยังมีข้อดีอื่น ๆ อยู่อีกหรือเปล่า? มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับ Cosma Health กันเลย!
อาหารเสริมแบบผงชงดื่ม มีกี่แบบ?
ผงชงดื่มคือรูปแบบอาหารเสริมที่นำมาปรับใช้กับสารอาหารหลายชนิดมาก ๆ เพราะมักจะเป็นการนำวัตถุดิบมาแปรรูปเป็นผงละเอียด เติมแต่งคุณประโยชน์อื่น ๆ แบบอัดแน่นให้สามารถชงดื่มได้ ยกตัวอย่างประเภทผงชงดื่มที่วงการอาหารเสริมมักนำมาใช้ เช่น
- วิตามินผงชงดื่ม (Vitamins Powder) เช่น วิตามินซี วิตามินรวม
- คอลลาเจนผง (Collagen Powder) มีทั้งคอลลาเจนผสมวิตามิน และคอลลาเจนเพียว
- โปรตีนผง (Protein Powder) เช่น เวย์โปรตีน โปรตีนจากถั่ว
- โพรไบโอติกส์ (Probiotics Powder) หรือบางครั้งก็เป็นผงพรีไบโอติก (Prebiotics)
- ผงผักหรือผลไม้ (Green Powder) หรือบางครั้งก็ทำมาจากอาหารจำพวก Superfood
นอกจากนี้ อาหารเสริมแบบผงชงดื่มที่มักได้รับความนิยมมากที่สุดคือ กลุ่มอาหารเสริมลดน้ำหนัก ซึ่งอาจมาในรูปแบบของชาเขียว กาแฟ น้ำผลไม้ หรือขั้นกว่าไปอีกคือผงชงดื่มทดแทนมื้ออาหาร (Meal Replacement) เน้นชงดื่มเพื่อทดแทนอาหารในมื้อนั้น ๆ ทำให้อิ่มท้องนาน ช่วยลดน้ำหนักได้
ข้อแตกต่างของผงชงดื่ม ที่อาหารเสริมรูปแบบอื่นให้ไม่ได้
มาถึงหัวข้อหลักของเรากันบ้าง! แน่นอนว่าอาหารเสริมแต่ละแบบนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่มาก ตั้งแต่รูปลักษณ์ กระบวนการผลิต ไปจนถึงคุณประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย!
เป็นรูปแบบที่ทานได้ง่ายกว่า
ผู้บริโภคบางส่วนอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการทานยาหรืออาหารเสริมแบบอัดเม็ด แคปซูล ซอฟเจล หรือแม้แต่การกลืนเจลลี่ ดังนั้น เมื่ออาหารเสริมอยู่ในรูปแบบผงละลายน้ำ จึงง่ายต่อการทานมากกว่า โดยไม่รู้สึกลำบากหรือเครียดเวลากลืน
ผงชงดื่มให้รสชาติที่หลากหลายกว่า
เมื่อเทียบกับอาหารเสริมแบบที่เป็นเม็ด ผงชงดื่มนั้นสามารถปรับแต่งรสชาติได้หลากหลายกว่ามาก (แบบเจลลี่ก็เหมือนกันนะ!) โดยเฉพาะในอาหารเสริมที่มีรสชาติเดิมไม่พึงประสงค์ การใส่รสหวานหรือรสคล้ายผลไม้เข้าไปแทนจะทำให้ทานง่ายกว่า มีประโยชน์ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เลยล่ะ!
การดูดซึมรวดเร็ว
อาหารเสริมแบบอื่น ๆ มักจะต้องรอให้เกิดการละลายหรือผ่านการย่อยก่อน จึงจะสามารถดูดซึมได้ แต่อาหารเสริมแบบผงมักจะดูดซึมได้รวดเร็วกว่า ทำให้ร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
สามารถแต่งกลิ่นและสีให้น่าดื่มได้
กรณีเดียวกับการแต่งรสชาติใหม่ วัตถุดิบหรือสารอาหารบางอย่างมักจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรง ซึ่งผู้บริโภคบางส่วนอาจไม่ชอบ เช่น กลิ่นเฉพาะตัวของน้ำเห็ดแบบเข้มข้น กลิ่นเหม็นเขียวของผัก เป็นต้น อีกกรณีหนึ่งคือ สีสัน จะช่วยกระตุ้นให้รู้สึกอยากทานได้ด้วย
จุปริมาณต่อ 1 ชิ้นได้เยอะกว่า
หากเป็นอาหารเสริมแบบเม็ดหรือเจลลี่ มักจะถูกบรรจุมาตามปริมาณที่กำหนดต่อ 1 หน่วยรับประทาน ทำให้ปริมาณที่ผลิตออกมาจำหน่ายมีจำกัด แต่หากเป็นอาหารเสริมแบบผงชงดื่ม จะสามารถให้ปริมาณเยอะ ๆ ได้ในบรรจุภัณฑ์แบบกระปุก (แต่ถ้าเป็นแบบแบ่งซองก็ค่าเท่ากันกับอาหารเสริมแบบอื่นนะ!)
พกพาสะดวก น้ำหนักเบา
เมื่อเทียบกับอาหารเสริมแบบเจลลี่หรือแบบเม็ดที่ต้องพกเป็นกระปุกแล้ว ผงชงดื่มแบบแบ่งซองเหมือนกันจะมีน้ำหนักเบากว่าเยอะ! แต่หากเป็นแบบกระปุกใหญ่ก็จะพกยาก ระเกะระกะไปเลย เพราะฉะนั้น เจ้าของแบรนด์ต้องตัดสินใจข้อนี้ให้ดีด้วย!
อายุยาว เก็บได้นาน
อาหารเสริมแบบเจลลี่ แคปซูล และซอฟเจล มักจะมีปัญหาเรื่องอุณหภูมิที่ไม่คงที่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีได้ง่ายเพราะมีส่วนประกอบเป็นของเหลว แต่อาหารเสริมแบบผงและแบบอัดเม็ดจะมีความคงที่มากกว่า เพราะไม่มีความชื้น เป็นข้อแตกต่างที่ทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นแน่นอน
เหมาะกับคนดื่มน้ำน้อย
แน่นอนว่าอาหารเสริมแบบผงจะต้องชงกับน้ำ ดังนั้น สำหรับคนที่ดื่มน้ำน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นคนติดน้ำหวาน หรือไม่ชอบน้ำเปล่า ก็จะเหมาะกับผงชงดื่มมาก ๆ เพราะสามารถแต่งกลิ่น สี และรสชาติได้ แต่ต้องระวังเรื่องน้ำตาลหรือเกลือไว้ให้ดี หากดื่มระยะยาว
ช่วยประหยัดต้นทุน รักษ์โลก
อย่างที่บอกไปว่าผงชงดื่มแบบกระปุกมักจะช่วยประหยัดต้นทุนมากกว่า เพราะไม่ต้องมีซองพลาสติกแยก ไม่ต้องอัดเป็นเม็ด ไม่ต้องใช้แคปซูล ไม่ต้องขึ้นรูปใด ๆ ดังนั้น จึงช่วยลดปริมาณขยะได้มากกว่า แต่ถ้าเป็นแบบแยกซอง เช่น ซองพลาสติก ซองฟอยล์ ข้อดีข้อนี้ก็ต้องปัดตกไปนะ!
แล้วผงอาหารเสริมชงดื่ม มีข้อเสียไหม?
มาถึงหัวข้อหลักของเรากันบ้าง! แน่นอนว่าอาหารเสริมแต่ละแบบนั้นมีข้อแตกต่างกันอยู่มาก ตั้งแต่รูปลักษณ์ กระบวนการผลิต ไปจนถึงคุณประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย!
สารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะยา ไม่สามารถทำเป็นผงชงดื่มได้
ข้อเสียหลัก ๆ ของอาหารเสริมแบบผงชงดื่มคือ มันไม่สามารถนำมาใช้กับสารอาหารหรือยาบางตัวที่ต้องจำกัดปริมาณในการทานแต่ครั้งได้ เพราะผู้บริโภคอาจจะกะปริมาณแต่ละครั้งมากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ทั้งนี้ ก็สามารถแก้ได้ด้วยการเลือกผงชงแบบซองต่อซอง ก็จะช่วยจำกัดปริมาณการทานต่อครั้งได้
กระบวนการผลิตค่อนข้างซับซ้อน ทำให้ราคาสูง
เมื่อคำนวณราคาต้นทุนส่วนต่าง ๆ แล้วมักพบว่าอาหารเสริมแบบผงมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เนื่องจากต้องแต่งกลิ่น แต่งสี แต่งรสชาติ ต้องควบคุมปริมาณ และหากเป็นแบบกระปุกรวม ยิ่งไซซ์ใหญ่มากก็จะยิ่งเพิ่มต้นทุนเข้าไปอีก ซึ่งแตกต่างจากแบบเม็ดและเจลลี่ที่ค่อนข้างแน่นอนกว่านั่นเอง
สรุป ผงชงดื่มดียังไง?
ผงชงดื่มนั้นมีข้อดีหลากหลาย ทั้งสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกอยากทาน เจ้าของแบรนด์สามารถออกแบบรูป กลิ่น สีของผงชงดื่มได้หลากหลาย ทั้งยังมีตัวเลือกทางการผลิตมากมาย แต่จริง ๆ แล้ว Cosma Health คิดว่ามันขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของแบรนด์มากกว่านะ! อาหารเสริมที่ผลิตออกมาแต่ละแบบนั้นมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน หากเราพึงพอใจกับข้อดีและรับข้อเสียของมันได้ ก็ลุยเต็มที่! เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีหลายตัวที่ช่วยทดแทนข้อเสียเหล่านั้นออกมาเยอะมาก ๆ โอกาสหน้าเดี๋ยว Cosma Health นำความรู้มาแชร์กันอีกนะ!